การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย จึงมีการขอรับเงินบริจาคสนับสนุนจากบุคคลทั่วไปด้วย iTAX จึงขอสรุปประเด็นภาษีสำคัญเกี่ยวกับการโอนเงินสนับสนุนผู้ชุมนุมทางการเมือง เพื่อให้ความเข้าใจกลไกของกฎหมายภาษีไทย ดังนี้
1. เงินบริจาคสนับสนุนเป็นรายได้ของแกนนำไหม?
ไม่เป็น โดยหลักกฎหมายแล้ว เงินได้ที่ต้องเสียภาษีต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้รับรวยขึ้น เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่า รายได้จากการทำธุรกิจ หรือเงินให้เปล่าจำนวนสูงๆ แต่ในกรณีนี้ หากข้อเท็จจริงยืนยันว่าเงินบริจาคเหล่านี้แกนนำผู้ชุมนุมไม่ได้นำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว บัญชีส่วนตัวของแกนนำผู้ชุมนุมก็จะมีสถานะเป็นเพียงกระเป๋าบุญสำหรับส่งต่อเงินบริจาคนี้เพื่อจัดกิจกรรมทางการเมืองเท่านั้น ไม่เป็นรายได้ที่ผู้ชุมนุมต้องนำไปเสียภาษีแต่อย่างใด
แต่ถ้าโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ใช้เป็นปกติส่วนตัว อาจมีประเด็นว่าไม่สามารถแยกตัวเลขส่วนที่เป็นรายได้กับเงินบริจาคออกจากกัน ถ้าแกนนำพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เจ้าหน้าที่เชื่อไม่ได้ เงินบริจาคที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัวอาจจะกลายเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีของแกนนำทั้งจำนวนเลยก็ได้
หรือหากแกนนำไม่ได้นำเงินที่ได้รับการสนับสนุนนั้นไปใช้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามที่ประกาศขอรับเงินสนับสนุนแต่แรก เงินสนับสนุนที่ได้รับทั้งหมดก็จะกลายเป็นเงินได้ที่ต้องนำไปเสียภาษีทั้งจำนวนได้เช่นกัน
2. แล้วถ้าโดนภาษีย้อนหลังจริง จะเกิดอะไรขึ้นกับแกนนำ?
แกนนำจะถูกเรียก
ค่าปรับภาษี (เบี้ยปรับ) อีกอย่างน้อย 1 เท่าของค่าภาษี อันอาจเกิดขึ้นได้หากยื่นภาษีไม่ครบถ้วน และดอกเบี้ย (เงินเพิ่ม) อีก 1.5% ต่อเดือน หรือ 18% ต่อปีจนกว่าจะชำระค่าภาษีเรียบร้อยด้วย
มีกรณีศึกษาใกล้เคียงกันที่แกนนำกิจกรรมทางการเมืองเปิดบัญชีส่วนตัวรับเงินบริจาคเพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองแล้วคนเปิดบัญชีถูกประเมินภาษีย้อนหลังเป็นเงิน 572 ล้านบาทจนถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย (ที่มา
https://www.naewna.com/politic/444938)
3. ภาษีย้อนหลังนี่ย้อนหลังได้ไกลแค่ไหน
ถ้าเป็นกรณี
ยื่นภาษีไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่สามารถประเมินย้อนหลังได้ 2 ปี แต่ถ้าเป็นกรณีหลีกเลี่ยงภาษีอาจขยายระยะเวลาได้สูงสุด 5 ปี
4. ถ้าเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเงินสนับสนุนที่แกนนำได้รับมาทั้งหมดถูกใช้เพื่อกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองจริงๆ ก็จะไม่โดนอะไรใช่ไหม?
ไม่โดน ถ้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ตามข่าว ยอดเงินบริจาคที่โอนเข้าบัญชีก็จะไม่เป็นรายได้ของแกนนำ จึงไม่มีหน้าที่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีแต่อย่างใด
5. แต่สมมติว่าแกนนำโดนภาษีย้อนหลังจริงๆ เดี๋ยวพวกเราช่วยกันโอนเงินช่วยค่าภาษีให้แกนนำได้ไหม?
คราวนี้เงินค่าภาษีที่ช่วยจ่ายให้แกนนำก็จะกลายเป็นรายได้ของแกนนำที่ต้องเอาเสียภาษีแน่นอน เพราะภาษีเงินได้เป็นภาษีทางตรงที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระการเสียภาษีไปให้คนอื่นรับผิดชอบแทนได้
ดังนั้น เงินค่าภาษีที่มีคนออกให้แกนนำเป็นเงินที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนเลยว่าต้องนำมาเสียภาษีด้วยเพราะแกนนำได้รับประโยชน์จากเงินก้อนนี้เป็นการส่วนตัวอย่างชัดเจน
สมมติว่า
แกนนำโดนประเมินภาษีเป็นเงิน 10 ล้านบาท แล้วทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันโอนเงินช่วยค่าภาษีให้แกนนำ 10 ล้านบาท แกนนำจะต้องนำเงิน 10 ล้านบาทไปเสียภาษีอีกรอบ ถ้าเสียภาษีในอัตรา 35% ก็จะโดนภาษีอีก 3.5 ล้านบาท
แล้วถ้าทุกคนยังคงร่วมแรงร่วมใจกันโอนเงินช่วยค่าภาษีให้แกนนำอีก 3.5 ล้านบาท ถ้าเสียภาษีในอัตรา 35% แกนนำก็จะโดนภาษีอีก 1,225,000 บาท และจะคำนวณภาษีแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีคนช่วยแกนนำออกค่าภาษีแทนให้จนกว่าทุกคนจะหยุดจ่ายภาษีแทนแกนนำ
6. เคยได้ยินว่ามีกฎหมายใหม่ที่ว่าเงินโอนเข้าบัญชี 3,000 ครั้งอะไรนี่จะถูกสรรพากรเรียกประเมินภาษีหรืออะไรเนี่ยแหละ มีความเสี่ยงอะไรกับแกนนำไหม?
ไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด การมีเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี หรือตั้งแต่ 400 ครั้งและมียอดรวมตั้งแต่ 2 ล้านบาท กฎหมายเรียกว่าเป็น “
ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ซึ่งจะอยู่ในเกณฑ์ที่ธนาคารและสถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมลักษณะเฉพาะดังกล่าวให้กรมสรรพากรรับทราบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการเสียภาษีของเจ้าของบัญชีต่อไป
แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเป็นธุรกรรมลักษณะเฉพาะแล้วจะต้องโดนประเมินภาษีเสมอไป
เพราะเจ้าหน้าที่อาจจะไม่เรียกประเมินภาษีเลยก็ได้หากเห็นว่าเสียภาษีถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หรือหากเจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือให้ชี้แจงที่มาที่ไปแล้วสามารถพิสูจน์ให้เชื่อได้ว่าเป็นเงินบริจาคช่วยผู้ประสบภัยจริงๆ ไม่ใช่รายได้ของตัวเอง ต่อให้เข้าข่ายเป็นธุรกรรมลักษณะเฉพาะก็ไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด
ดังนั้น
สำหรับกรณีที่แกนนำได้รับเงินสนับสนุน หากเข้าเกณฑ์ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ ก็อาจไม่ถูกเรียกประเมินภาษีก็ได้ เพราะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงอื่นประกอบด้วยว่ามีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ ถ้าไม่มีเหตุให้สงสัยหรือต่อให้มีแต่แกนนำสามารถชี้แจงที่มาที่ไปได้ว่าเงินบริจาคดังกล่าวไม่ใช่รายได้ของแกนนำ ก็จะไม่เรื่องประเมินภาษีย้อนหลังให้กังวลใจแน่นอน
7. ให้เงินสนับสนุนแกนนำเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการชุมนุมทางการเมือง สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หรือไม่?
ไม่ได้ การบริจาคที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ จะต้องเป็น
การบริจาคให้พรรคการเมืองโดยตรงเท่านั้น ซึ่งจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่บริจาคจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
อีกทั้งแกนนำไม่ใช่มูลนิธิ สมาคม สถานศึกษา โรงพยาบาล หรือองค์กรการกุศลสาธารณะ เงินบริจาคที่ให้ไปจึงไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เลย
8. สรุปแกนนำควรดำเนินการอย่างไรกับเงินสนับสนุนที่ได้รับมาเพื่อไม่ให้เกิดประเด็นภาษีย้อนหลัง?
ถ้าเป็นกรณีเร่งด่วน เมื่อเสร็จจากกิจกรรมทางการเมืองแล้ว แกนนำที่ได้รับเงินสนับสนุนควรดึงรายงานเดินบัญชีย้อนหลังมาดูว่ารายการไหนบ้างที่เป็นเงินบริจาคและรายการไหนบ้างที่เป็นรายได้ส่วนตัว
แต่เพื่อความชัดเจน ในแกนนำควรเปิดบัญชีธนาคารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรับเงินสนับสนุนการชุมชุมโดยเฉพาะแล้วปิดบัญชีไปเลยเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ก็อาจพอช่วยแยกเงินรายได้ส่วนตัวและเงินบริจาคออกจากกันได้อย่างชัดเจนขึ้น และเห็นได้ว่าเงินทุกบาทที่เข้าบัญชีนี้ออกไปหาใครบ้าง ซึ่งจะช่วยให้การชี้แจงง่ายขึ้น
RELATED POSTS
-
ยื่นภาษีไม่ทัน ทำไงดี?ไม่ว่าสาเหตุที่ทำให้คุณยื่นภาษีไม่ทัน (ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีออนไลน์ หรือยื่นภาษีแบบกระดาษ) ในช่วงเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด จะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อคุณรู้ตัวว่ายังไม่ได้ยื่นภาษีให้เรียบร้อย และต้องการที่จะยื่นภาษีย้อนหลังก็สามารถทำได้
-
-
-
-
มีคนใช้ สิทธิลดหย่อนภาษีพ่อแม่ แทนเรา ทำไงดี?หลายๆ ครั้งที่เราไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้มีสาเหตุมาจากการยื่นขอใช้สิทธิ์ที่ซ้ำซ้อนกัน และหากพบว่าคนที่ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตัดหน้าเราไปเป็นพี่น้องเราเอง คุณก็จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนพ่อแม่ในปีนี้ได้
เป็นพระต้องเสียภาษีมั๊ยศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน พระภิกษุในฐานะนักบวชของศาสนาพุทธจึงเป็นที่พึ่งให้พุทธศาสนิกชนในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ ซึ่งหลายๆ ครั้งก็มักจะจบลงด้วยการใส่ซองถวายเงินให้พระแล้วกราบ 3 ครั้ง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันว่า ตามกฎหมายไทยเป็นพระต้องเสียภาษีมั้ย? 1. พระเป็นผู้เสียภาษีได้ไหม? ในมุมมองของปุถุชน เรามักจะมองว่าพระตัดแล้วซึ่งทางโลก แต่กฎหมายไม่ได้มองแบบนั้น กฎหมายยังคงมองว่าพระภิกษุยังคงเป็น บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายอยู่ ดังนั้น ถ้าพระมีรายได้ พระก็จะพ่วงตำแหน่ง ผู้เสียภาษี ไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าพระไม่มีรายได้ พระก็ไม่มีหน้าที่เป็นผู้เสียภาษีแต่อย่างใด 2. พระจะมีรายได้ได้ไง? สำหรับพระซึ่งกฎหมายมองว่าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ใช้หลักพื้นฐานง่ายๆ ว่าบุคคลธรรมดาคนนั้นมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีไหม (หรือที่ศัพท์กฎหมายยากๆ เรียกว่า “เงินได้พึงประเมิน”) ซึ่งนักบวชที่เป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธก็อาจจะมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีได้ เช่น รายได้จากการสอนหนังสือ บรรยายธรรมให้องค์กรเอกชน ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เป็นต้น 3. แต่ไม่เคยเห็นพระรูปไหนเสียภาษีเลยนะ? ถ้าเงินที่พระได้รับเป็นเงินทำบุญที่ญาติโยมบริจาคเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการศาสนา แบบนี้จะเป็นเงินได้ที่ต้องได้รับยกเว้นภาษีอยู่แล้ว (มาตรา 42(29) ประมวลรัษฎากร) เมื่อเงินที่ได้ได้รับยกเว้นภาษี ก็แปลว่า พระไม่มีเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เมื่อไม่มีเงินได้ก็เลยไม่ต้องเสียภาษีนั่นเอง สรุป ที่พระไม่ต้องเสียภาษีไม่ใช่เพราะพระมีสถานะเป็นพระ แต่เป็นเพราะเงินที่พระได้รับเป็นเงินที่ยกเว้นภาษีต่างหาก พระเลยไม่ต้องเสียภาษี ส่วนพระที่มีรายได้นอกเหนือจากเงินทำบุญ ท่านอาจจะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีด้วยนะครับ ยังไงถ้าหลวงพี่ทำภาษีไม่เป็นจริงๆ นิมนต์หลวงพี่ใช้ www.itax.in.th ได้ฟรีนะครับ
RELATED POSTS
-
ยื่นภาษีไม่ทัน ทำไงดี?ไม่ว่าสาเหตุที่ทำให้คุณยื่นภาษีไม่ทัน (ไม่ว่าจะเป็นการยื่นภาษีออนไลน์ หรือยื่นภาษีแบบกระดาษ) ในช่วงเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด จะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อคุณรู้ตัวว่ายังไม่ได้ยื่นภาษีให้เรียบร้อย และต้องการที่จะยื่นภาษีย้อนหลังก็สามารถทำได้
-
-
-
-
มีคนใช้ สิทธิลดหย่อนภาษีพ่อแม่ แทนเรา ทำไงดี?หลายๆ ครั้งที่เราไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้มีสาเหตุมาจากการยื่นขอใช้สิทธิ์ที่ซ้ำซ้อนกัน และหากพบว่าคนที่ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตัดหน้าเราไปเป็นพี่น้องเราเอง คุณก็จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนพ่อแม่ในปีนี้ได้
เป็นพระต้องเสียภาษีมั๊ยศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน พระภิกษุในฐานะนักบวชของศาสนาพุทธจึงเป็นที่พึ่งให้พุทธศาสนิกชนในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ ซึ่งหลายๆ ครั้งก็มักจะจบลงด้วยการใส่ซองถวายเงินให้พระแล้วกราบ 3 ครั้ง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันว่า ตามกฎหมายไทยเป็นพระต้องเสียภาษีมั้ย? 1. พระเป็นผู้เสียภาษีได้ไหม? ในมุมมองของปุถุชน เรามักจะมองว่าพระตัดแล้วซึ่งทางโลก แต่กฎหมายไม่ได้มองแบบนั้น กฎหมายยังคงมองว่าพระภิกษุยังคงเป็น บุคคลธรรมดา ตามกฎหมายอยู่ ดังนั้น ถ้าพระมีรายได้ พระก็จะพ่วงตำแหน่ง ผู้เสียภาษี ไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าพระไม่มีรายได้ พระก็ไม่มีหน้าที่เป็นผู้เสียภาษีแต่อย่างใด 2. พระจะมีรายได้ได้ไง? สำหรับพระซึ่งกฎหมายมองว่าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ใช้หลักพื้นฐานง่ายๆ ว่าบุคคลธรรมดาคนนั้นมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีไหม (หรือที่ศัพท์กฎหมายยากๆ เรียกว่า “เงินได้พึงประเมิน”) ซึ่งนักบวชที่เป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธก็อาจจะมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีได้ เช่น รายได้จากการสอนหนังสือ บรรยายธรรมให้องค์กรเอกชน ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เป็นต้น 3. แต่ไม่เคยเห็นพระรูปไหนเสียภาษีเลยนะ? ถ้าเงินที่พระได้รับเป็นเงินทำบุญที่ญาติโยมบริจาคเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการศาสนา แบบนี้จะเป็นเงินได้ที่ต้องได้รับยกเว้นภาษีอยู่แล้ว (มาตรา 42(29) ประมวลรัษฎากร) เมื่อเงินที่ได้ได้รับยกเว้นภาษี ก็แปลว่า พระไม่มีเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เมื่อไม่มีเงินได้ก็เลยไม่ต้องเสียภาษีนั่นเอง สรุป ที่พระไม่ต้องเสียภาษีไม่ใช่เพราะพระมีสถานะเป็นพระ แต่เป็นเพราะเงินที่พระได้รับเป็นเงินที่ยกเว้นภาษีต่างหาก พระเลยไม่ต้องเสียภาษี ส่วนพระที่มีรายได้นอกเหนือจากเงินทำบุญ ท่านอาจจะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีด้วยนะครับ ยังไงถ้าหลวงพี่ทำภาษีไม่เป็นจริงๆ นิมนต์หลวงพี่ใช้ www.itax.in.th ได้ฟรีนะครับ