แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 11 ต.ค. 2564 (ฉบับเต็ม) พร้อมสรุป

ทั่วไป

ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์สำคัญ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 20.30 น. ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทรท. (ทีวีพูล) ความยาวประมาณ 15 นาทีนั้น สามารถสรุป แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 11 ต.ต. 2564 ได้ดังนี้

เปิด แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี ฉบับเต็ม “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว”  11 ตุลาคม 2564 

“พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ

หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เราได้ผ่านความท้าทายที่หากไม่นับช่วงเวลาศึกสงคราม นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19เป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีใครในประเทศไม่ได้รับผลกระทบ และเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ไม่ได้รับผลกระทบ 

ที่ผ่านมา เป็นความหนักใจที่สุดในชีวิตของผมเองด้วย ที่ต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างปกป้องชีวิตคน  กับปกป้องการทํามาหากิน เป็นสอง ทางเลือกที่ไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้เมื่อเราเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน เรากลับต้องทําให้ชีวิตเหล่านั้นพบเจอกับความยากลําบากในการทํามาหา เลี้ยงชีวิต ต้องอยู่อย่างไม่มีรายได้ หรือหากเราเลือกที่จะปกป้องการทํามาหากินตามปกติของ ประชาชน เราก็คงต้องเจอกับการสูญเสียชีวิต ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือ แม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัวเรา 

การต้องเจอกับทางเลือกแบบนี้ ทําให้เราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ช้าไม่ได้ และเราทําแบบ รอดู สถานการณ์ก่อน ไม่ได้ ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มที่เราต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด-19  ผมเลือกที่จะไม่ยอมให้มันมาพรากเอาชีวิตของพี่น้องคนไทยไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก  

เพราะฉะนั้น ผมได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแน่วแน่ ปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญทางด้าน สาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมของเรา ที่มีอยู่มากมายหลายท่าน เราลงมือทําอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนคนไทย 

ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม เผชิญหน้ากับวิกฤตที่เกิดขึ้น วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน

และด้วยความเสียสละอย่างมหาศาล อดทนเจอกับความยากลําบากในการทํามาหากิน สูญเสีย รายได้ สูญเสียเงินเก็บ ธุรกิจพัง สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พวกเราแลกไปเพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่พี่น้อง  และเพื่อนของเราเอาไว้ ให้พวกเค้ายังคงอยู่กับเราในวันนี้ 

วันนี้ ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ในประเทศไทย  กําลังค่อยๆ ลดลง ถึงแม้ว่า ความเสี่ยงนั้นจะยังมีอยู่ และเรายังต้องระวังรักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของเราอยู่ก็ตาม 

ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องค่อยๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันเหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจําถิ่น 

วันนี้ ผมอยากประกาศ หนึ่งก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สําคัญ ที่เรากําลังจะเดินหน้าบนเส้นทางที่จะช่วยให้พี่น้องประชาชน สามารถกลับมาทํามาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้ง 

ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสําคัญของประเทศไทยต่างค่อยๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเค้า เดินทางได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย  อย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรืออย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไข ในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน 

ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ เราเอง แม้ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อ ไม่ให้เสียโอกาส ที่อย่างน้อย เราจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้บ้าง ในช่วงเทศกาล เดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปีใน 3 เดือนข้างหน้านี้เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทํามาหา กินของประชาชนนับล้านๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อน หย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวข้อง

เพราะฉะนั้น วันนี้ ผมได้สั่งการให้ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1  พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว  สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่ เรากําหนดว่าเป็นประเทศความเสี่ยงตํ่า 

เราจะขอเพียงแค่ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทําการตรวจก่อนเดินทางออกจาก ประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้นจึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทําได้  

ในเบื้องต้น เราเริ่มต้นกําหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่าที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยเราตัเงเป้าจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอีก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม และ หลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอย่างกว้างขวาง 

ส่วนผู้ที่มาจากประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศ ไทย แต่จําเป็นต้องมีการกักตัวตามเงื่อนไขและข้อกําหนด 

พร้อมกันนี้ ภายในวันที่ 1 ธันวาคม เราจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่ 

ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยงที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่าเราจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาสในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือ ไม่ไหวอีกต่อไป  

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่า ในสองสามเดือน หรือสี่เดือนข้างหน้า มีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตราย มากๆ เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่า เราก็ต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดีมาจัดการคุม สถานการณ์เอาไว้ให้ได้ เมื่อเรารู้ว่าไวรัสนี้ได้ทําให้ทั่วทั้งโลกต้องตกใจมาแล้วหลายรอบ ดังนั้น เรา ต้องพร้อมรับมือ หากมันเกิดขึ้นอีก  

เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้ตั้งเป้าที่จะเปิ ดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมกับเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน 

วันนี้ผมขอใช้โอกาสนี้ชื่นชมความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานอื่นๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สําหรับความร่วมมือของทุกท่าน ที่ตอบสนองต่อคําร้องขอของผมเมื่อเดือนมิถุนายน 

หลังจากที่เราตั้งเป้า 120 วัน ก็ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ทําทุกวิถีทางเพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น และแย่งชิงกับประเทศอื่น เพื่อให้เราได้รับส่งมอบวัคซีนเข้ามา ซึ่งทั้งหมดนี้ เราประสบความสําเร็จอย่างมาก การรับส่งมอบวัคซีนของประเทศไทย เพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดด ถึง 3 เท่าในทันทีจากที่เดือนพฤษภาคม เราได้รับส่งมอบวัคซีน 4 ล้านโดส กลายเป็นเราได้รับส่งมอบวัคซีน ถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม และได้รับส่งมอบ วัคซีน อีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ เราจะได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทยถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจํานวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้เป็นอย่างมาก 

ในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะสนับสนุนเป้าหมาย 120 วัน เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุข ได้ทํางานกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย เร่งเครื่องการฉีดวัคซีน รวมทั้งพี่น้องประชาชน ต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สะดวกสบายในเรื่องของการนัดหมายบ้างก็ตาม ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ จากเดิมที่เราฉีดวัคซีนได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 โดสต่อวัน เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่หลังจากการตั้งเป้า 120  วัน เพียงหนึ่งเดือน จํานวนการฉีดวัคซีนต่อวันของประเทศไทยพุ่งขึ้นทันที

ทีมสาธารณสุขของไทย ดันยอดการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และดันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก ปัจจุบัน เฉลี่ยแล้ว เราฉีดวัคซีนได้ มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และในบางวัน เราฉีดวัคซีนได้มาก เกินกว่า 1 ล้านโดสก็ยังมี 

ภายหลังการตั้งเป้า 120 วัน เปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัว เมื่อกลางเดือนมิถุนายน เพียงไม่นาน ทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ที่ทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมากทั้งโลก ในช่วงเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับในประเทศไทย ตอนนั้นหลายคนคงทําใจแล้วว่าเราไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้ 

ตอนนี้แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่การที่เรากําลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป การที่เราทําแบบนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จ ของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทํางานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยได้ทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถภูมิใจได้กับการมีส่วนร่วมที่ทําให้ความสําเร็จนี้เกิดขึ้น และเกิดขึ้นถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเวลาพร้อมๆ กับที่ประเทศอื่นเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจํากัด ในการเดินทางของประชาชนของเค้าด้วย เหมือนกัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้า ประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว 

ขอบคุณครับ”

สรุป แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 11 ต.ค. 2564 

1. ช่วงเริ่มต้นโควิด รัฐบาลจำเป็นต้องเลือกปกป้องชีวิตก่อนปกป้องเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเปิดเผยว่าเมื่อเลือกต้องปกป้องชีวิตซึ่งนำมาสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลตัดสินใจเลือก รัฐบาลจึงใช้มาตรการปกป้องที่เข้มงวดตามคำแนะนำของบุคลากรด้านสาธารณสุข

2. ประกาศ 1 พ.ย. 64 ปลดล็อก 10 ประเทศความเสี่ยงต่ำ เข้าไทยไม่ต้องกักตัว

นายกรัฐมนตรีได้สั่งการ เร่งให้ สบค. และกระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินการจนตอนนี้สรุปแล้วว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเปิดให้บุคคลจากต่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัวอีก โดยเงื่อนไขดังนี้

  1. ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
  2. เดินทางมาจากประเทศความเสี่ยงต่ำ โดยเริ่มต้น 10 ประเทศ เช่น อเมริกา จีน สิงคโปร์ อังกฤษ เยอรมนี
  3. ต้องแสดงหลักฐาน RT-PCR จากประเทศต้นทางว่าไม่พบเชื้อ
  4. ยอมรับการเตรียมเชื้อโควิดที่ไทยอีกครั้ง

โดยนายกรัฐมนตรีประกาศว่าในวันที่ 1 มกราคม 2565 จะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้นกว่า 10 ประเทศ ส่วนประเทศที่ไม่ได้อยู่ในความเสี่ยง ประเทศไทยยังต้อนรับอยู่ แต่ยังต้องดำเนินมาตรการกักตัวต่อไป

3. ปลดล็อกร้านเหล้า 1 ธ.ค. 64 กินดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้

นายกรัฐมนตรีแถลงว่าในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 นี้จะเปิดให้ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และสามารถเปิดร้านเหล้าได้ โดยแม้จะรู้ว่าการคลายล็อกร้านเหล้ามีความเสี่ยงที่จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่ประเทศไทยต้องคว้าโอกาสทางเศรษฐกิจช่วงปลายปีให้ได้ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะแย่ยิ่งกว่านี้

แต่อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เช่น มีเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงเข้ามา รัฐบาลก็อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายได้

4. ตั้งเป้าเปิดประเทศ 120 วัน ดันยอดวัคซีนเพิ่มขึ้น-ประชาชนฉีควัคซีนเพิ่มขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายเปิดประเทศภายใน 120 วันเมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2564 ส่งผลให้ประเทศไทยต้องพยายามหาวัคซีนมาฉีดให้คนไทยเพิ่มขึ้น โดยสรุปได้ว่า

  • เดือนกรกฎาคม 2564 – ได้รับวัคซีน 12 ล้านโดส 
  • เดือนสิงหาคม 2564 – ได้รับวัคซีน เกือบ 14 ล้านโดส
  • ตั้งแต่เดือนนี้จนถึงสิ้นปี – ได้รับอีก 20 ล้านโดสทุกเดือนจนถึงสิ้นปี 2564

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ทำให้อัตราการฉีดวัคซีนต่อวันในประเทศไทยสามารถเพิ่มขึ้นจนติด 1 ใน 10 ของประเทศที่ฉีดได้เร็วที่สุดในโลก (ฉีดได้ 7 แสน – 1 ล้านโดสต่อวัน)

ดูย้อนหลัง แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี 11 ตุลาคม 2564

iTAX คำนวณและวางแผนภาษี
(100K+)