ประกันชีวิต กับความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

ลดหย่อนภาษี

2,866 VIEWS

เราเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า ประกันชีวิตให้อะไรกับเรามากกว่าการลดหย่อนภาษี และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คุณตัดสินใจทำประกันชีวิตด้วยความเข้าใจผิด และป้องกันการหลวมตัวซื้อประกันจากตัวแทนที่บอกข้อมูลไม่ครบ เรามาเช็กลิสต์กันหน่อยดีกว่า ว่า คุณเข้าใจจุดประสงค์ของการทำประกันชีวิตและมีความพร้อมสำหรับการทำประกันชีวิตมากแค่ไหน

1. คิดว่า ประกันชีวิตมีข้อดีแค่ลดหย่อนภาษีได้

ความเข้าใจนี้อาจจะไม่ใช่ความเข้าใจที่ผิด แต่ก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะถ้าจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา ประกันชีวิตไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อผลประโยชน์การลดหย่อนภาษีเป็นหลัก แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นหนักไปที่ความคุ้มครองด้านชีวิต การบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตมากกว่าการลงทุนหรือการลดหย่อนภาษี

นั่นหมายความว่า หากจะซื้อประกันชีวิตสิ่งแรกที่คุณต้องคิดถึงคือ ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องคิดว่าคุณต้องการกระจายความเสี่ยงด้านไหนมากที่สุด ต้องการที่จะได้ความคุ้มครองชีวิตด้านใด และเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรมากที่สุด จะทำให้คุณสามารถคำนวณระยะเวลาคุ้มครอง และทุนประกันคุ้มครองชีวิตได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

ซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี คือสิ่งที่ไม่ควรทำจริงหรือ?

การพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า การตัดสินใจซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่หากคุณต้องการซื้อประกันชีวิตเพราะต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การเลือกใช้ กองทุน LTF หรือ กองทุน RMF เพื่อลดหย่อนภาษีอาจจะตรงกับความต้องการของคุณมากกว่า

2. คิดถึงความคุ้มครอง จนลืมคิดถึงทุนประกัน

แม้ว่าความคุ้มครองที่ประกันชีวิตมีให้เป็นส่วนที่สำคัญมาก แต่คุณก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับความคุ้มครองที่จะได้รับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คุณจะต้องให้ความสำคัญกับ ทุนประกันชีวิต หรือ ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับด้วย นั่นหมายความว่า เมื่อคุณเจอประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองที่คุณถูกใจ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจซื้อก่อนที่จะคำนวณดูผลประโยชน์ว่าคุ้มกับเงินที่คุณจ่ายไปและตรงกับที่คุณต้องการหรือไม่

เพราะหลายๆ คนเลือกทำประกันชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันให้ตัวเองมั่นใจว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นคนในครอบครัวจะยังพอมีเงินใช้จ่ายอยู่บ้าง หรืออย่างน้อยๆ มีเงินไว้สำหรับทำศพก็ยังดี แม้ความคิดแบบนี้จะไม่ใช่สิ่งผิด แต่เราไม่อยากสนับสนุนแนวคิดนี้เท่าไหร่นัก เพราะหากคุณทำประกันชีวิตที่มีทุนประกันชีวิตน้อยเกินไปอาจทำให้ผลประโยชน์ที่คนในครอบครัวของคุณจะได้รับน้อยเกินไปและไม่สามารถแบ่งเบาภาระให้คนในครอบครัวได้เท่ากับที่คุณตั้งใจไว้ก็ได้

แม้เราจะเน้นย้ำเรื่องทุนประกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเลือกจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตในราคาที่แพงมากๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเป็นทุนประกันสูงๆ จนลืมคิดถึงความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันของตัวเอง เพราะทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของค่าเบี้ยประกันชีวิตที่คุณจ่ายไหว เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องแบกรับค่าเบี้ยประกันชีวิตมากเกินไปนั่นเอง (ค่าเบี้ยประกันชีวิต ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้)

3. คิดว่า ประกันชีวิตคือทุกอย่าง

แม้ว่าประกันชีวิตบางรูปแบบ (เช่น ประกันบำนาญ หรือประกันสะสมทรัพย์) จะการันตีผลตอบแทนที่คุณจะได้รับเมื่อครบกำหนดสัญญา ทำให้คุณสามารถวางใจได้ในระดับหนึ่งว่า คุณจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่ไม่ผันผวนตามระบบเศรษฐกิจ แต่คุณต้องไม่ลืมคิดถึงสภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปีด้วย

และหากคุณฝากอนาคตหลังเกษียณไว้ที่การทำประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว คุณอาจจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่ค่อนข้างสูงมาก เพื่อให้ได้รับเงินปันผลที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งการหาทางออกด้วยวิธีนี้อาจจะทำให้ค่าเบี้ยประกันชีวิตบานปลายได้

เพราะการซื้อประกันชีวิตนั้นเป็นเพียงการเริ่มต้นคำนวณเป้าหมายทางการเงินสำหรับอนาคตบางส่วนเท่านั้น เพราะประกันชีวิตไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินได้ครบทุกด้านอยู่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่อยากให้คุณมองว่าประกันชีวิตเป็นทุกสิ่งทุกอย่างหรือเป็นที่สุดของการวางแผนเป้าหมายทางการเงิน

และหากคุณมองที่ผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นหลัก เราแนะนำให้คุณมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เช่น การลงทุนหุ้น การซื้อกองทุน หรือ การลงทุนในธุรกิจรูปแบบอื่นๆ น่าจะตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของคุณมากกว่า

4. คิดว่า ประกันชีวิตแบบไหนก็เหมือนกันหมด

หลายๆ คนตัดสินใจซื้อประกันชีวิตโดยที่ยังไม่รู้ความต้องการของตัวเอง และเข้าใจกันไปเองว่า ประกันชีวิตรูปแบบไหนก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วประกันชีวิตแต่ละแบบนั้นแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น

  • วัตถุประสงค์ของประกันชีวิต (ประกันชีวิตเน้นผลตอบแทน หรือ ประกันชีวิตเน้นความคุ้มครอง เป็นต้น)
  • ระยะเวลาความคุ้มครอง
  • ระยะเวลาการส่งเบี้ยประกัน
  • ผลตอบแทน

ดังนั้น หากคุณคิดที่จะทำประกันชีวิตคุณจะต้องรู้จักความต้องการของตัวเองก่อนว่า คุณต้องการอะไรจากการทำประกันชีวิต และอยากได้ความคุ้มครองด้านใดมากที่สุด เช่น

ฉะนั้น ตอนนี้ใครที่กำลังคิดว่า ประกันชีวิตก็เหมือนๆ กันไปหมด เราอยากให้คุณเปลี่ยนความคิดใหม่ และเริ่มต้นศึกษารายละเอียดของประกันชีวิตแต่ละประเภทให้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะ ความคุ้มครองที่ได้รับ ระยะเวลาความคุ้มครอง ระยะเวลาจ่ายค่าเบี้ยประกัน เงื่อนไขต่างๆ พร้อมกับเช็กสิสต์ความต้องการของตัวเองควบคู่กันไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณได้ประกันชีวิตที่ตรงกับความต้องการของคุณที่สุดนั่นเอง

และหากคุณตัดสินใจดีแล้วว่าอยากซื้อประกันชีวิต แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี? ลองให้ iTAX shop ช่วยค้นหาแผนประกันช่วยลดหย่อนภาษี ที่มาพร้อมความคุ้มครองที่คุ้มค่า เรากล้ารับรองว่า คุณจะได้รับประสบการณ์และคำแนะนำดีๆ จากเราแน่นอน

iTAX คำนวณและวางแผนภาษี
(100K+)